รู้หรือไม่? ร้านจะขายดี เริ่มต้นที่เลือกเพลง

เพลงคือเครื่องปรุงลับ! เจาะลึกหลักจิตวิทยาที่ร้านอาหารใช้ควบคุมพฤติกรรมลูกค้า และเพิ่มยอดด้วยเสียงเพลง

        คุณอาจคิดว่าดนตรีในร้านอาหารเป็นแค่เสียงเปิดคลอเบา ๆ แต่ความจริงคือมันคือเครื่องมือทางจิตวิทยาที่ทรงพลังที่สุด! เพลงที่คุณได้ยินนั้นถูกเลือกมาอย่างตั้งใจเพื่อควบคุมพฤติกรรมของคุณ ตั้งแต่ความเร็วในการกินไปจนถึงจำนวนเงินที่คุณจะจ่ายออกไป ดนตรีที่ถูกเลือกอย่างชาญฉลาดสามารถเพิ่มยอดขาย และทำให้ลูกค้าพอใจมากขึ้น

งานวิจัยทางจิตวิทยา และพฤติกรรมผู้บริโภคได้ชี้ชัดแล้วว่า จังหวะของเพลงมีความสัมพันธ์โดยตรงกับความเร็วในการบริโภคอาหารของเรา ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพ การควบคุมน้ำหนัก และการใช้จ่ายมากกว่าที่เราคิด

เพลงเร็ว vs. เพลงช้า

ทำไมเพลงเร็วถึงทำให้เรากินเร็ว?

หัวใจสำคัญของปรากฏการณ์นี้คือ จังหวะของเพลง (Tempo) หรือ BPM (Beats Per Minute)

  • ดนตรีที่มี “จังหวะเร็ว” จะกระตุ้นให้ร่างกายเกิดความตื่นตัว และเร่งกิจกรรมต่าง ๆ ที่ทำอยู่ให้เร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว นักวิจัยพบว่าผู้ที่ฟังเพลงเร็วจะมีอัตราการเคี้ยว และอัตราการกลืนที่สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ
  • เมื่อสมองจดจ่ออยู่กับจังหวะดนตรีที่เร้าใจ สมาธิในการรับรู้รสชาติ และเนื้อสัมผัสอาหารจะลดลง นำไปสู่ภาวะ "การกินอาหารแบบมีสิ่งเร้ารอบข้าง" ทำให้กลืนเร็ว และเคี้ยวไม่ละเอียด
  • การกินที่เร่งรีบทำให้คุณกินอาหารในปริมาณมากก่อนที่สัญญาณความอิ่มจะส่งไปยังสมองได้ทัน (ซึ่งใช้เวลา 15-20 นาที) ทำให้เสี่ยงต่อการบริโภคแคลอรี่เกินความจำเป็น

ทำไมเพลงช้าลดโอกาสอ้วน?

  • เพลงช้าจะช่วยลดอัตราการเคี้ยว และกลืนอาหาร ทำให้ผู้บริโภคใช้เวลาในการรับประทานอาหารนานขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
  • เพิ่มสติ กระตุ้นให้เกิดการกินอย่างมีสติ (Mindful Eating) ทำให้สมองมีเวลาจดจ่อกับรสชาติ และรับรู้ความอิ่ม
  • การกินช้าลงช่วยยืดระยะเวลาของมื้ออาหาร ทำให้ร่างกายมีเวลาส่งสัญญาณความอิ่มไปถึงสมองได้ทันเวลา ซึ่งอาจช่วยลดปริมาณแคลอรี่โดยรวมที่บริโภคเข้าไปได้

งานวิจัยบางชิ้นพบว่าเพลงจังหวะปานกลางอาจนำไปสู่ปริมาณอาหารที่สูงที่สุด เมื่อเทียบกับเพลงช้า และเพลงเร็วสุด

หูอื้อทำลายลิ้น ระดับเสียงที่ทำให้คุณ 'ไม่รู้รส' อาหาร

  • ดนตรีที่ดังเกินไปอาจทำให้เกิดภาวะประสาทสัมผัสถูกรบกวน ซึ่งจะลดความสามารถในการรับรู้รสชาติของคุณลง
  • เมื่อคุณไม่สามารถเพลิดเพลินกับรสชาติอาหารได้อย่างเต็มที่ คุณจะรู้สึกไม่พอใจกับมื้ออาหาร และมีแนวโน้มที่จะกินเร็วขึ้น หรือหันไปบริโภคของว่างในปริมาณที่มากขึ้นตามมาในภายหลังเพื่อชดเชยความรู้สึกอิ่มที่ไม่สมบูรณ์

อารมณ์เพลงมีผลต่อรสนิยมอาหาร

นอกจากจังหวะ และความดังแล้วประเภทของดนตรีที่เราฟังยังมีอิทธิพลต่อการรับรู้รสชาติ และทางเลือกอาหารของเราด้วยเรียกว่า การเชื่อมโยงข้ามประสาทสัมผัส

  • ดนตรีประเภทแจ๊ส (Jazz) หรือคลาสสิก (Classical Music) มักถูกเชื่อมโยงกับความหรูหรา และคุณภาพอาหารที่ดีขึ้น งานวิจัยบางชิ้นพบว่าการฟังดนตรีเหล่านี้สามารถเพิ่มความชอบในอาหารบางชนิด เช่น ช็อกโกแลต หรือเครื่องดื่มพรีเมียมได้
  • โน้ตสูง = หวาน งานวิจัยพบความเชื่อมโยงที่น่าสนใจ โดยเสียงที่มี Pitch สูง (เช่น เสียงเครื่องสายเบา ๆ หรือเปียโน) มักถูกเชื่อมโยงกับรสชาติหวาน หรือเปรี้ยว ทำให้คุณอาจเลือกอาหารที่มีรสชาติเหล่านี้มากขึ้น
  • โน้ตต่ำ = ขม/อูมามิ ในทางกลับกัน สียงที่มี Pitch ต่ำ (เช่น เสียงเครื่องเป่าทองเหลือง หรือเบส) มักถูกเชื่อมโยงกับรสชาติ ขม หรืออูมามิ

การศึกษาในร้านไวน์พบว่า การเปิดดนตรีคลาสสิกอาจทำให้ลูกค้าซื้อไวน์ที่มีราคาสูงกว่า เมื่อเทียบกับการเปิดเพลงป๊อป หรือเพลงตลาดทั่วไป แสดงให้เห็นว่าประเภทดนตรีสามารถกำหนดการรับรู้คุณค่าสินค้าได้

หายนะของความเงียบ ผลกระทบเมื่อ "ไม่เปิดดนตรีเลย" ในร้านอาหาร

การไม่เปิดดนตรีประกอบเลยอาจดูเหมือนเป็นทางเลือกที่ช่วยประหยัดต้นทุน แต่ผลกระทบเชิงลบต่อประสบการณ์ของลูกค้า และการดำเนินงานของร้านอาหารนั้นมีมากกว่าที่คิด และสามารถส่งผลร้ายแรงต่อความพึงพอใจโดยรวมได้

1. สร้างความอึดอัด และไม่สบายใจ

ความเงียบคือความตึงเครียด หากไม่มีดนตรีเป็นฉากหลัง ลูกค้าอาจจะรู้สึกไม่สบายใจ หรือเกิดความตึงเครียดขึ้นในบรรยากาศ ซึ่งนำไปสู่การรีบทานอาหารให้เสร็จ และออกไปอย่างรวดเร็ว

2. ขัดขวางความเป็นส่วนตัวในการสนทนา

ดนตรีพื้นหลังทำหน้าที่เป็นฉากกั้นเสียงที่สำคัญ หากไม่มีดนตรี ลูกค้าจะรับรู้ว่าการสนทนาของตนเองอาจถูกโต๊ะข้าง ๆ ได้ยิน ซึ่งขัดขวางการสนทนาอย่างเป็นส่วนตัว และราบรื่น

3. เสียงรบกวนที่ไม่พึงประสงค์

เมื่อไม่มีดนตรีมากลบเสียงต่าง ๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานของร้านอาหาร เช่น เสียงช้อนส้อมกระทบจาน เสียงภาชนะ เสียงกระซิบของพนักงาน หรือแม้แต่เสียงการเคี้ยว จะกลายเป็นเสียงที่โดดเด่น และไม่น่าฟังในขณะรับประทานอาหาร

กลยุทธ์เพิ่มยอดขายด้วยเพลง

ในมุมมองของผู้ประกอบการ ดนตรีเป็นเครื่องมือทางการตลาด และจิตวิทยาที่ทรงพลังมากในการควบคุมพฤติกรรมการใช้จ่ายของลูกค้า

การจัดการการหมุนเวียนโต๊ะ 

  • ดนตรีจังหวะเร็วถูกใช้ในร้านอาหารที่ต้องการให้ลูกค้าทานเสร็จเร็ว (เช่น ฟาสต์ฟู้ด) เพื่อเพิ่มการหมุนเวียนของลูกค้า ซึ่งเป็นกลยุทธ์หลักในการเพิ่มผลกำไรในช่วงเวลาที่มีคนหนาแน่น

การกระตุ้นให้ "จ่ายเยอะขึ้น" 

  • ดนตรีจังหวะช้าทำให้ลูกค้านั่งอยู่ในร้านนานขึ้น ส่งเสริมความผ่อนคลาย ซึ่งนำไปสู่การสั่งเครื่องดื่ม หรือของหวานเพิ่ม ส่งผลให้ยอดขายโดยรวมสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
  • การเล่นดนตรีคลาสสิก หรือดนตรีแจ๊สในร้านไวน์ หรือร้านอาหารหรู อาจทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นในคุณภาพ และเต็มใจซื้อไวน์ที่มีราคาสูงกว่า หรืออาหารพรีเมียมมากขึ้น

ดนตรีจังหวะช้ากับการบริโภคเครื่องดื่มในบาร์

  • งานวิจัยชี้ว่าในบริบทของบาร์ ดนตรีจังหวะช้ากระตุ้นให้ลูกค้าดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 3.04 แก้ว ทำให้ยอดใช้จ่ายต่อบิลสูงขึ้นอย่างมาก 

ใช้เสียงกำหนด "ลูกค้าเป้าหมาย"

  • ร้านอาหารที่มีความทันสมัยเปิดเพลงดัง และมีความสนุกสนานจึงสามารถดึงดูดกลุ่มประชากรรุ่นใหม่ได้มากกว่า
  • ในทางตรงกันข้าม ร้านอาหารหรูหราที่เปิดดนตรีพื้นหลังที่เบา และนุ่มนวล จะดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่มีอายุมากกว่า

การสร้างความภักดี และยอดขายที่ยั่งยืนผ่านเพลง

  • ร้านที่ใช้เพลย์ลิสต์ที่ถูกคัดสรรมาให้เข้ากับร้านสามารถเพิ่มยอดขายได้ถึง 9.1% เมื่อเทียบกับร้านที่เปิดเพลงแบบสุ่ม
  • ดนตรีที่เข้ากับบรรยากาศมีส่วนสำคัญในการสร้างความรู้สึกดีโดยรวม ผลสำรวจพบว่าลูกค้าส่วนใหญ่ (67%) ถือว่าปัจจัยด้านบรรยากาศ และดนตรีเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความภักดีต่อร้านโปรด

วิธีทำให้ลูกค้า "เต็มใจรอโต๊ะนานขึ้น"

  • ดนตรีประกอบที่มีจังหวะช้า และผ่อนคลายมีผลทางจิตวิทยาในการช่วยให้ลูกค้ารู้สึกผ่อนคลาย และมีความอดทนมากขึ้น ลูกค้าจะเต็มใจรอคอยเป็นระยะเวลาเฉลี่ยถึง 47 นาทีต่อกลุ่มซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมาก
  • หากบริเวณรอคอยไม่มีดนตรีที่ผ่อนคลายเข้ามาช่วย ลูกค้าจะรู้สึกตึงเครียด และไม่สบายใจ ทำให้ ระยะเวลาที่ลูกค้าเต็มใจรอคอยลดลงถึง 20% ซึ่งหมายถึงการสูญเสียโอกาสทางธุรกิจ

การเลือกใช้ดนตรีที่เหมาะสมในพื้นที่รอคอยจึงเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้ร้านอาหารสามารถ บริหารจัดการคิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรักษาลูกค้าไว้ได้ แม้ในช่วงเวลาที่ร้านมีผู้ใช้บริการจำนวนมาก

4 ข้อผิดพลาดใหญ่ในการวางกลยุทธ์ดนตรี

กลยุทธ์เสียงเพลงที่วางแผนมาอย่างดีจะช่วยยกระดับร้านอาหารได้ แต่การใช้แนวทางที่ผิดพลาดก็สามารถบ่อนทำลายร้านอาหารได้เช่นกัน ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุดบางประการ ได้แก่

  • เปิดเพลงฮิตยอดนิยมโดยไม่มีบริบท เพลงกระแสหลักมักจะขัดแย้งกับตัวตนของร้านอาหาร หรือทำให้ร้านดูไม่โดดเด่น และไม่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
  • ละเลยการอัปเดต การเปิดเพลย์ลิสต์เดิมซ้ำ ๆ เป็นเวลาหลายเดือนสามารถทำให้บรรยากาศของร้านรู้สึกซ้ำซาก และไม่สดใหม่
  • เพิกเฉยต่อความสมดุลของระดับเสียง ดนตรีที่ดังเกินไป จะสร้างความตึงเครียดให้กับลูกค้า ในขณะที่ดนตรีที่เบาเกินไป ก็ทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัด และเงียบเหงา
  • ลืมความแตกต่างของช่วงเวลาในแต่ละวัน ช่วงเวลาอาหารเช้า/กลางวัน และช่วงอาหารเย็น ต้องการระดับพลังงานที่แตกต่างกันมากในการสร้างบรรยากาศ

ดนตรีเป็นเครื่องมือทางจิตวิทยาที่ทรงพลังในการควบคุมพฤติกรรมการบริโภค และการใช้จ่ายของลูกค้า การเลือกใช้เพลงที่เข้ากับร้านจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรพลาด เช่น ร้านชาบูบุฟเฟต์ หมูกระทะ ควรใช้เพลงจังหวะเร็วเพื่อเพิ่มรอบหมุนเวียนโต๊ะ ร้านอาหารอีสานถ้าเปิดเพลงลูกทุ่ง หรือหมอลำ อาจช่วยให้ลูกค้ารู้สึกอร่อยขึ้นได้ การเปิดเพลงที่ตรงกับร้านก็จะช่วยเพิ่มความอยากอาหาร และเพิ่มยอดให้ร้าน เหมือนกับการเลือกใช้โฆษณา LINE MAN หากใช้ให้เข้ากับร้านก็จะเปิดการมองเห็น เพิ่มลูกค้า และยอดขายให้กับร้านได้อย่างยั่งยืนเช่นกัน ทั้งใช้ง่าย มีประสิทธิภาพ และเห็นผลจริง!

ได้เวลาหยุดเปิดเพลงแบบสุ่ม และเริ่มสร้างเพลย์ลิสต์เชิงกลยุทธ์ให้กับร้านของคุณวันนี้ เพื่อกำหนดพฤติกรรมลูกค้า และเพิ่มยอดขายอย่างมีประสิทธิภาพ! เมื่อลูกค้าอินกับรสชาติ และบรรยากาศในร้านแล้ว อย่าปล่อยให้โอกาสหลุดมือ! โปรโมตเมนูซิกเนเจอร์ของคุณด้วยโฆษณา LINE MAN ทันที เพื่อให้ยอดขายเดลิเวอรีพุ่งตามกระแสความประทับใจที่คุณสร้างไว้!

โฆษณา LINE MAN ทำง่ายใน 3 คลิก ดูวิธีทำที่นี่

เริ่มต้นสร้างโฆษณา LINE MAN บนแอปฯ Wongnai Merchant App (WMA) คลิกที่นี่

บทความแนะนำเพิ่มเติม