เทคนิคสะกิดใจให้อยากซื้อด้วย Nudge Marketing สำหรับร้านอาหาร

เจ้าของร้านเตรียมจด ทำอย่างไรให้ลูกค้าอยากซื้อเพิ่มอย่างมีกลยุทธ์

    

          พ่อค้าแม่ค้ารู้หรือไม่? แค่การปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมเพียงเล็กน้อย ก็สามารถทำให้พฤติกรรมของคนเราเปลี่ยนแปลงไปได้ เช่น เราจะตักอาหารใส่จานน้อยลง ถ้าหากว่าจานของเราเล็กลง และยังทำให้เรายังรู้สึกอิ่มเร็วขึ้นอีกด้วย หรือการที่ตีเส้นสำหรับรอรถไฟบนชานชาลาก็ทำให้แถวรอรถเป็นระเบียบขึ้น ฯลฯ

          หลักการนี้ถูกพัฒนาขึ้นเป็นทฤษฎีที่ชื่อว่า “Nudge Theory” หรือ “ทฤษฎีสะกิด” เพื่อให้เกิดพฤติกรรม หรือการตัดสินใจตามที่ออกแบบไว้ และพัฒนาเป็นอีกกลยุทธ์การตลาดที่เรียกว่า “Nudge Marketing” หรือเทคนิคการสะกิดเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อให้ธุรกิจมีลูกค้ามากขึ้น หรือคนซื้อของมากขึ้นนั่นเอง แล้วในมุมร้านอาหาร เราจะปรับใช้ Nudge Marketing เพิ่มยอดขายให้ร้านได้อย่างไรบ้าง

          วันนี้ LINE MAN จึงรวมรวบรวมเทคนิคสะกิดใจให้อยากซื้อ ด้วย Nudge Marketing มาให้แล้ว พ่อค้าแม่ค้าคนไหนที่อยากกระตุ้นยอดขายให้กับร้านของตัวเองแบบแนบเนียน กดเซฟแล้วเอาไปทำตามกันเลย

ทำความรู้จัก Nudge Marketing กันก่อน

          ที่มาของเทคนิคการตลาดที่เรียกว่า “Nudge Marketing” มาจากทฤษฎีต้นฉบับ คือ Nudge Theory ของริชาร์ด ธาเลอร์​ (Richard Thaler) ผู้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ว่าด้วยการออกแบบทางเลือก หรือสถานการณ์เพื่อ “สะกิด” (หรือ Nudge) ให้ผู้คนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม หรือมีแนวโน้มที่จะทำบางสิ่งบางอย่างโดยอัตโนมัติ ยกตัวอย่างเช่น

  • การแปะป้ายแคลอรีที่ใช้สำหรับการเดินขึ้นบันได
  • “Thank You Plate” หรือจากที่มีคำว่า “ขอบคุณ” เมื่อกินอาหารจนหมด จะรู้สึกว่า กินเสร็จแล้ว ช่วยลดการไปตักอาหารเพิ่ม กรณีนี้มักใช้สำหรับโรงอาหารของที่ทำงาน
  • การที่ตีเส้นสำหรับรอรถไฟบนชานชาลา หรือหน้าลิฟต์ที่ทำให้คนต่อแถวเป็นระเบียบ

          และด้วยประโยชน์ของทฤษฎีนี้ ที่สามารถกระตุ้นให้ผู้คนตัดสินใจทำบางอย่าง หรือเลือกทางเลือกที่มักจะเป็นไปตามที่ออกแบบไว้ได้ จึงถูกนำมาประยุกต์ใช้ในการทำการตลาด เกิดเป็น “Nudge Marketing” ขึ้น โดย Nudge Marketing หมายถึง เทคนิคการทำการตลาดที่ใช้หลักการสะกิด หรือกระทุ้ง (Nudging) ให้ผู้คนตัดสินใจซื้อสินค้าง่ายขึ้น หรือรวดเร็วขึ้น เช่น เลือกซื้อของจากเรามากกว่าคู่แข่ง ซื้อของมากขึ้น หรือรีบตัดสินใจซื้อในทันที ฯลฯ ซึ่งหลักการของ Nudge Marketing  เราก็สามารถปรับใช้กับร้านอาหารได้เช่นกัน

ร้านอาหารจะทำ Nudge Marketing อย่างไรได้บ้าง

1. จัดเมนูที่อยากขายให้มองเห็นง่าย

          ร้านอาหารร้านหนึ่งอาจมีรายการเมนูเป็นสิบ ๆ แต่เมนูที่อยากขายจริง ๆ คงเป็นเมนูที่มีราคาสูง หรือเป็นเมนูที่ทำกำไรได้มากกว่า

          กลยุทธ์ Nudge Marketing ง่าย ๆ คือ ให้นำเสนอเมนูที่ต้องการขายมากกว่า ทำกำไรได้มากกว่า หรือเมนูขายดีให้มองเห็นได้ง่าย หรือนำเสนอเป็นอันดับแรก ๆ ด้วยวิธีการนี้ ร้านจะสามารถกระตุ้น (Nudge) ให้ลูกค้าเลือกซื้อเมนูเหล่านี้มากกว่าเมนูที่อยู่ลำดับท้าย ๆ หรือโดดเด่นน้อยกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าลูกค้าไม่รู้จะเลือกอะไร ถ้าขายบนเดลิเวอรี ก็นำเสนอเมนูที่ต้องการขายมากกว่าไว้เป็นเมนูแรก ๆ หรือจะจัดหมวดหมู่เป็น “เมนูขายดี” “เมนูแนะนำ” และเรียงเป็นหมวดแรกก็สามารถทำได้

2. ซื้อเพิ่มอีกนิดเพื่อส่วนลด

          ร้านสามารถกระตุ้นให้ลูกค้าสั่งอาหารกับร้านเพิ่มขึ้นได้ ด้วยการ ‘Nudge’ ลูกค้าผ่านการให้ส่วนลดเพิ่มเติม เมื่อเขาสั่งอาหารถึงยอดบิลขั้นต่ำ ยกตัวอย่างเช่น สั่งอาหารครบ 200 บาท รับส่วนลดเพื่อสั่งเพิ่ม 20% สำหรับเมนูถัดไป หรืออาจจะเป็นบัตรแลกซื้อสำหรับเมนูพิเศษบางเมนูก็ได้

          เทคนิคนี้เป็นการเล่นกับจิตวิทยา “ความคุ้มค่า” ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า อยากได้ส่วนลดจัง ซื้อเพิ่มอีกนิดนึงดีกว่า เพื่อจะได้ส่วนลด ร้านสามารถประยุกต์ใช้ทำเป็นคูปองที่เก็บไว้ใช้ภายหลังให้ลูกค้ากลับเข้าร้านอีก หรือจะเน้นให้ใช้ทันทีก็ได้ (ถ้าใช้ทันที เหมาะกับแบบสั่งเดลิเวอรีมากกว่า)

          สำหรับร้านที่เปิดขายบน LINE MAN สามารถใช้เทคนิคนี้ได้ ด้วยการทำโปรฯ “ส่วนลดท้ายบิล” ผ่านแอปพลิเคชัน WMA > เข้าไปที่ “โปรโมชั่น” > สร้างโปรโมชั่น > เลือกส่วนลดท้ายบิล > เลือกราคาขั้นต่ำ และส่วนลด > ตั้งเวลาที่อยากให้ใช้โปรฯ

อ่านวิธีสร้างส่วนลดท้ายบิลแบบละเอียด 👈 ที่นี่

3. ทำให้รู้สึกว่าเมนูนี้กำลังจะหมด กำลังจะพลาด

          ใช้หลักจิตวิทยาที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า “กำลังจะพลาด” เพราะเมนูนี้ หรือโปรโมชั่นกำลังจะหมด เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกสั่งเมนูที่อยากขายได้ง่ายขึ้น โดยวิธีการนี้ ร้านอาหาร ร้านของหวาน คาเฟ่/ร้านขายเครื่องดื่ม สามารถทำได้หลายวิธี ยกตัวอย่างเช่น

  • ออกเมนูพิเศษประจำเดือน ขายเฉพาะเดือนนี้เท่านั้น!
  • ออกเมนูตามเทศกาล หรือตามฤดูกาล ซึ่งจะมีขายเฉพาะเดือนนี้ หรือในช่วงเวลาที่จำกัดเท่านั้น
  • ออกโปรโมชั่นที่ใช้ได้เฉพาะวันนี้ หรือในระยะเวลาที่จำกัดเท่านั้น เช่น 1 แถม 1 เฉพาะวันนี้ / ลด 50% สำหรับเมนูพิเศษ 3 วันเท่านั้น

          การที่เมนูเมนูหนึ่งไม่ได้ขายอยู่ตลอด จะทำให้ลูกค้ารู้สึก “กลัวที่จะพลาด” (Fear Of Missing Out หรือ FOMO) หรือการจำกัดเวลาใช้โปรโมชั่น ก็เป็นการเร่งให้ลูกค้า ‘ต้องรีบ’ ใช้โปรฯ เพื่อสั่งอาหาร หรือใช้เข้ามาใช้บริการ

4. ติดป้ายแดง “สินค้าขายดี” “มีโปรฯ”

          ร้านอาหารสามารถกระตุ้นลูกค้าให้สนใจเมนูบางเมนูให้เหนือกว่าเมนูอื่น ๆ ได้ด้วยการทำ “แท็ก” (Tag) เพื่อชี้แนะนำเมนูเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็น “เมนูแนะนำ” “Hot” “ขายดี” “ลดพิเศษ” “มีโปรฯ” แท็กเหล่านี้ จะช่วยดึงดูดความสนใจของลูกค้า และทำให้เขาพิจารณาเพิ่มเติมว่า น่าจะลองสั่งเมนูเหล่านี้ดูนะ

          สำหรับร้านอาหารที่เปิดร้านบนเดลิเวอรี ก็ลองทำโปรโมชั่น หรือส่วนลด ตั้งแต่บนรูปหน้าร้านในหน้าค้นหา ก็จะโดดเด่นมากกว่าร้านอื่น ๆ ที่ไม่ได้ทำ นอกจากนี้ การที่ร้านทำโปรโมชั่นอยู่ ลูกค้าเมื่อเห็นเมนูที่กำลังจัดโปรฯ ก็มีแนวโน้มที่จะตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น

5. ตั้งราคาเมนูที่อยากขายให้ดูคุ้มค่ากว่าเมนูอื่น

          ถ้าร้านตั้งราคาบางเมนูให้แพงขึ้นอย่างมีกลยุทธ์ ก็สามารถทำให้บางเมนูในร้านขายดีขึ้นได้ ด้วยการตั้งราคาเมนูบางเมนูให้ราคาแพงกระโดดจากเมนูที่อยากขายมาก ๆ และทำเมนูคล้ายกันให้ดูไม่คุ้ม เช่น ได้น้อยกว่า หรือใส่วัตถุดิบน้อยกว่า โดยตั้งราคาให้ถูกกว่าเมนูที่ต้องการขายนิดเดียว โดยเป้าหมายของการตั้งราคาแบบนี้ เพื่อทำให้เมนูตรงกลางดูแล้วคุ้มค่า เมื่อมีราคาอยู่ระหว่างเมนูที่ราคาถูก และราคาแพง

ยกตัวอย่างเช่น

  • [เมนูทั่วไป] เมนูบะหมี่ทั่วไป คือ บะหมี่หมูแดงราคา 89 บาท
  • [เมนูที่อยากขาย] เมนูบะหมี่เกี๊ยวหมูสามจักรพรรดิ 99 บาท (มีเกี๊ยวกุ้ง หมูแดง หมูกรอบ)
  • [เมนูหลอกล่อ] บะหมี่มหาจักรพรรดิ 5 แผ่นดิน (เกี๊ยวกุ้ง เกี๊ยวปู หมูแดง หมูกรอบ เนื้อปู) ราคา 229 บาท

          เมื่อลูกค้าเห็นเมนูทั้งสาม ลูกค้าจะทำการเปรียบเทียบความคุ้มค่าโดยอัตโนมัติ ทำให้ลูกค้ามีแนวโน้มเลือกซื้อเมนูตรงกลางมากกว่าเมนูอื่น ๆ ด้วยความรู้สึกว่า เป็นเมนูที่คุ้มค่ามากที่สุด

          เพียงแค่การสะกิดลูกค้า หรือผู้คนเบา ๆ ด้วยหลักการ Nudge Marketing ไม่ว่าจะเป็นการชี้ชวนให้พวกเขามาเห็นทางเลือกที่คุ้มค่ามากกว่า กลยุทธ์ตั้งราคาด้วย “จิตวิทยาล่อใจลูกค้า การใช้จิตวิทยา FOMO หรือการใช้ส่วนลด / โปรโมชั่นเข้ามาช่วย ก็สามารถทำให้ลูกค้าเลือกร้านของเรา หรือสั่งอาหารมากขึ้นได้ ร้านไหนที่อยากขายดี ทำยอดเพิ่ม ลองนำเทคนิค Nudge Marketing ในบทความนี้ ไปลองปรับใช้กันดู

สนใจเริ่มต้นเปิดร้านบน LINE MAN คลิกเลย

ติดตามข่าวสาร และสาระน่ารู้ที่พ่อค้าแม่ค้า LINE MAN ไม่ควรพลาด ได้ที่กระดิ่งแจ้งเตือนบนแอปฯ Wongnai Merchant App คลิกที่นี่

บทความแนะนำเพิ่มเติม